Thursday, March 26, 2009

ว่าด้วยเรื่องเช็คช่วยชาติกันหน่อย

วันนี้ต้องขอบ่นกับเรื่องของการประชาสัมพันธ์ของทางรัฐบาลซักหน่อย ด้วยเหตุผลที่ว่า ผมพยายามหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตจากหลาย ๆ ที่ด้วยกัน ว่าด้วยเรื่องเช็คช่วยชาติสำหรับผู้ประกันตนแต่อยู่ในมาตรา 38 คือลาออกจากงานนั่นเอง ว่าสามารถรับเช็คช่วยชาติได้หรือเปล่า ตรวจสอบรายชื่อได้ที่ไหน และรับวันไหน จนแล้วจนรอด ผมก็ไม่สามารถหาข้อมูลในส่วนนี้ได้ เพราะถ้าผมจะลองมองย้อนดูความสามารถในการหาข้อมูลของผมก็ไม่ใช่ย่อยซ่ะที่ไหน แต่กลับหาข้อมูลในส่วนนี้ไม่ได้ ว่าแล้วผมก็รีบขับรถตรงไปที่ประกันสังคมทันทีให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

พอไปถึงที่สำนักงานประกันสังคม ผมก็ต้องอึ้งอยู่ชั่วขณะ เพราะว่า ผมเห็นผู้คนหลากหลายกำลังตรวจสอบรายชื่อที่ทางการติดประกาศอยู่ อีกทั้งส่วนหนึ่งก็กำลังเข้าแถวเพื่อรอรับเช็ค ผมเดินยิ้มไปด้วยความหวังที่จะได้ 2000 บาทเหมือนกับทุก ๆ คนเหมือนกัน บอร์ดประกาศที่หนึ่งมองดูแล้วก็เห็นรายชื่อของผู้ประกันตนตามมาตรา 39 บอร์ดที่สอง สาม สี่ ห้า.....ก็ยังเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 กับมาตรา 33 ทั้งหมด ไม่มีมาตรา 38 ให้เห็นแม้แต่บอร์ดเดียว เอ๊ะมันยังไงกัน ต้องทำอะไรต่อ


ว่าแล้่วผมก็รีบเดินตรงไปหาเจ้าหน้าที่ประกันสังคมบนตึกทันที แต่ก็ต้องรอคิวเพื่อถามข้อสงสัย เพราะคิวค่อนข้างจะยาว ผมก็เลยเดินไปเรียบ ๆ เคียง ๆ ใกล้ ๆ กับเจ้าหน้าที่ และช่างบังเอิญจริง ๆ ที่มีน้องนางท่านหนึ่งถามว่าผู้ประกันตนตามมาตรา 38 สามารถรับเช็คได้เมื่อไร ที่ไหน เจ้าหน้าที่ตอบว่า "ตอนที่ผู้ที่สามารถรับเช็คได้จะเป็นเฉพาะผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และ 39 เท่านั้น ส่วนมาตรา 38 ต้องรอดูประกาศจากทางราชการก่อนว่าสามารถรับได้เมื่อไร" และทางเจ้าหน้าที่ก็ยังยืนยันว่าผู้ประกันตนตามมาตรา 38 ก็ได้ลงข้อมูลในระบบเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่คงไม่ถึงคิวที่ทางการจะประกาศความช่วยเหลือ

ก็สรุปได้ว่า ผู้ประกันตนตามมาตรา 38 ยังไม่สามารถรับเช็คช่วยชาติได้ในระยะเวลานี้ และยังไม่มีกำหนดแน่นอน เฉพาะผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และ 39 เท่านั้นถึงจะได้รับเช็คช่วยชาติ สุดท้ายผมก็ถึงบางอ้อ

คงต้องขอบ่นกับการประชาสัมพันธ์ของทางราชการถึงรายละเอียดของผู้ที่จะได้รับเช็๋คให้ชัดเจนกว่านี้หน่อย ผมว่า คงมีอยู่หลายคนเหมือนกันที่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 38 ที่จะไปรับเช็คช่วยชาติวันนี้ แต่ก็ต้องผิดหวัง หรือบางที่ประชาสัมพันธ์ดีอยู่แล้ว แต่ผมดันไม่ทราบข่าวสารเองก็เป็นได้

Thursday, March 19, 2009

ตกงาน ป่่วย ติดหนี้ ไม่มีความสุข ทำไงดี(กระทู้จากพันทิป)

ผมได้อ่านกระทู้ที่ก๊อปปี้มาข้างล่างนี้ รู้สึกว่า บางคำตอบก็ให้กำลังใจดี ลองอ่านดูน๊ะครับ

ผมอายุ 26-27 ผมตกงานจากการที่ โดนหัวหน้างานเล่นงาน ผมยังมาป่วย จากโรคริดซี่ เพิ่งผ่าตัดมาไม่ถึงเดือน นั่งไม่ได้ ทรมานที่สุด ผมยังหวังรวยทางลัด เล่นการพนัน พี่สาวต้อง มาใช้หนี้บัตรเครดิต ผมไปสมัครงานกับคน ญี่ปุ่น เขาว่าผมย้ายงานบ่ อย ในรอบ 3 ปีผมทำมาเกือบ 10 บริษัท เขาไม่แม้กระ ทั่ง ดูผลงานผมเลย. ผมว่าผมเปึนแบบนี้ เพราะเปึนกรรมของผม ที่ทำในอดีต. ผมไ ปทำงานที่ใหนมีปัญหาตลอด กับเจ้านาย ผมเพิ่งไปลงทะเบียนคนว่างงานมา มีคนแบบผมอีกเยอะที่ตกงาน มันแย่ๆ จริงๆน่ะครับ คนเต็มตลอด พี่ๆครับผมควรทำอย่างไรดี. 1. แม่ผมให้กลับไปอยู่บ้าน 2. หางานต่อไ ปเรื่อยๆ เริ่มต้นชีวิตใหม่ 3. ทำงานอะไรก็ได้ ไม่ให้อดตาย 4.รักษาตัวเองให้หาย แล้วเริ่มหาอะไรทำ. ถ้าเป็นพี่ๆจะทำอย่างไรครับ หรือมันแค่เป็นช่วงหนึ่งในชีวิตคนเราครับ. เศร้าและแย่มากเลย

จากคุณ : planoy_nat - [ 19 มี.ค. 52 12:14:04 ]

ความคิดเห็นที่ 1

ผมก็เพิ่งจะตกงานครับ เจ้านายหนีกลับต่างประเทศไปแล้ว อายุก็ 35 แล้ว สมัครงานก็ยากหนี้สินก็เยอะครับ บัตรเครดิตทั้งนั้นเลย แต่ก็ยังต้องสู้ต่อไปครับ

จากคุณ : G_AOD - [ 19 มี.ค. 52 12:32:13 ]

ความคิดเห็นที่ 4

ใจเย็นๆนะคะ อย่าเพิ่งคิดมาก มันอาจจะเป็นช่วงหนึ่งของชีวิตที่เราเจอแต่เรื่องร้ายๆ แต่อย่าเพิ่งท้อแท้นะคะ ค่อยๆคิด ค่อยๆแก้ไปทีละอย่างค่ะ

ดูจากที่ คุณเล่ามา ภายใน 3 ปี น้องเปลี่ยนงานไปเกือบ 10 บริษัท อันนี้ก็อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผุ้ใหญ่ หรือบริษัทเค้าสงสัยได้ค่ะ ว่าเป็นเพราะอะไร ทำไมเราถึงเปลี่ยนงานบ่อยขนาดนั้น เพราะคงไม่มีบริษัทไหน ที่จะรับคนมาแล้วโดยที่จะต้องมานั่งคิดว่า คนๆนี้อีกไม่นานก็ต้องออก เราคิดว่า อันนี้นคุณคงต้องศึกษาดูตัวเองด้วยนิดนึง ว่าตัวเรามีข้อเสียอะไร อย่างไร แล้วก็ควรจะปรับเปลี่ยนค่ะ

ส่วน เรื่องไม่สบาย อันนี้ก็ไม่อยากให้เครียดนะคะ เพราะถ้ายิ่งเครียด ก็จะยิ่งมีผลกับร่างกายด้วย พยายามค่อยๆคิด อย่าเครียดมาก พักผ่อน ออกกำงบ้าง จะได้แข็งแรง ร่างกายแข็งแรง จิตใจก็จะค่อยๆดีขึ้นนะคะ

สิ่ง ที่เราคิดว่าไม่ควรทำเลย ก็คือเรื่องการเล่นพนัน อันนี้คิดว่าคุณคงเห็นผลเสียของมันแล้วใช่ไหมคะ เพราะว่าตอนนี้พี่สาว ต้องมาเป็นคนใช้หนี้ให้ ถ้าเห็นผลเสียแล้ว ก็อย่าทำอีกเลยนะคะ ไม่มีใ:-)อย่างมีความสุขตลอดไปได้ด้วยการเล่นพนัน หรือการทำสิ่งทุจริตหรอกค่ะ เราเชื่ออย่างนั้น

ยังไงก็ขอให้กำลังใจคุณนะคะ อายุยังน้อย ก็ยังมีโอกาสค่ะ ถ้าหางานทำได้ ก็อยากให้อดทนกับทุกๆเรื่องนะคะ สู้ๆต่อไปค่ะ


จากคุณ : pj_job - [ 19 มี.ค. 52 12:54:31 ]

ความคิดเห็นที่ 6

เอาน่า วันนี้ไม่ใช่วันของเรา
ค่อยๆประคองให้ผ่านวันนี้ไปให้ได้
เช้าพรุ่งนี้อาจมีเรื่องดีๆเข้ามาก็ได้
ลองนึกถึงคนป่วย, คนพิการ ที่เขาต้องต่อสู้กับปัญหาที่หนักหนากว่าเรา
เรายังโชคดีกว่าอีกหลายคนนัก
สู้ๆนะคะเป็นกำลังใจให้ค่ะ

แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 52 13:35:46





จากคุณ : SOprapa (deco_mom) - [ 19 มี.ค. 52 13:35:06 ]

ความคิดเห็นที่ 7

มันเป็นแค่ช่วงชีวิตหนึ่ง หรือไม่ก็อาจจะเป็นทั้งชีวิต ไม่มีใครรู้หรอกค่ะ
แต่ที่รู้คือ ต้องสู้ ต้องสู้ถึงจะชนะ

สมัยก่อนมีอยู่ช่วงหนึ่ง
ต้องอาศัยเพื่อนอยู่ ไม่มีที่นอนไม่มีหมอนนอนด้วยซ้ำ
มีเงินติดตัวไม่กี่ร้อยบาท ซึ่ง ยังไม่รู้ว่าจะมีอีกเมื่อไหร่
คือมองไม่เห็นอนาคต

กินมาม่าทุกวัน แถมกินวันละมื้อ ที่เหลือน้ำ บางวันก็กินข้าวกับไข่เค็ม คลุกน้ำพริกเผา

เคยไม่มีจะกิน เพราะต้องเก็บเงินไว้เป็นค่ารถไปทำงาน ที่จะได้เงินหลังจบงาน อีก 15 วัน

โชคดีมาก ที่ได้จัดชิม ทูน่ากระป๋อง โดยทำเป็นแซนวิชให้ลูกค้า
เราก็ทำเอาไว้กินเองด้วย น้ำก็ไปกดเอาของฟรีในห้าง
เวลาเลิกงาน ก็ไม่อยากเข้าห้องเพื่อนเร็ว เพราะกลัวเพื่อนชวนไปกินข้าว
ไม่มีตังค์นี่ ไม่รู้จะบอกเพื่อนยังไง แค่มันให้นอนก็รบกวนแย่แล้ว

เลยนั่งมันอยู่ข้างตึก นั่งกินแซนวิชที่แอบใส่ถุงกลับมาเป็นมื้อค่ำ
แมวตัวหนึ่งเดินผ่านสงสัยได้กลิ่นทูน่า มาร้องเมี้ยวอยู่ตรงหน้า
เลยแบ่งให้แมวกิน แบ่งกันคนกับแมว

ตอนนั้นได้แต่มองฟ้าอธิษฐานในใจขอให้อยู่รอดไปถึงวันที่เงินออก

ทำงานกับบริษัทรับจัดโปรโมทสินค้า มีงานบ้างไม่มีบ้ง เพราะเราเป็นเด็กใหม่
จนวันหนึ่ง...ไม่มีงาน...

ในความโชคร้าย ยังมีความโชคดี จำได้ว่าตอนไปจัดชิมนมถั่วเหลือง
ได้จดเบอร์ อีกบริษัทไว้ เลยโทรไปสอบถามและไปสมัคร
ไม่รู้ว่าโชคช่วยหรือเราสัมภาษณ์ได้ดี เพราะหลังชนฝาต้องสู้มันทุกอย่าง
วันรุ่งขึ้นบริษัทเรียกตัวไปทำงาน
โชคดีมาก เพราะตอนนั้นมีเงินติดตัวแค่ 500 บาท

ด้วยความเป็นเด็กใหม่ หน้าตาผิดระเบียบดูร้ายๆ งานเลยน้อยกว่าคนอื่นเค้าแต่เราก็สู้ไม่เป็นไร
สักวันเวลาจะพิสูจน์เอง
ทุกอย่างเหมือนจะดี แม้งานน้อยกว่าคนอื่นแต่ 15 วันรับ 2000-3000 ก็โอเค
แต่แล้ว เวลาลงก็มาอีกหน...
บริษัทใหญ่มีการจัดระบบใหม่ ลดพนักงานจัดชิมพาร์ทไทม์

คุณรู้มั้ย เหมือนโชคช่วยอีกครั้ง เราเข้าบริษัทไปช่วยงานเล็กๆน้อยๆทุกวัน
ได้เงินบ้างไม่ได้บ้าง จนเค้ารับเป็นชั่วคราวแบบประจำออฟฟิศ
ได้พี่คนหนึ่งช่วยพูด

คำแรกที่หัวหน้าพูดกับเรา คือ รับก็ได้แต่แต่งตัวดีๆหน่อย

ใจเรามันร้องไห้เลยนะ เสื้อผ้าเราตอนนั้นนะมีแต่มือสอง
แล้วมือสองสมัย 7-8 ปีที่แล้ว มันไม่ได้แฟชั่นแบบตอนนี้
มันก็เชยๆ ทำไงได้ เงินต้องเก็บไว้เป็นค่าเช่าห้อง ค่าเดินทาง ค่ากิน
เราจึงต้องประหยัด

จนมาถึงทุกวันนี้สบายกว่าเก่าเยอะ

อยากบอกว่า แม้วันนี้เราไม่ได้รวยจนล้นฟ้า
เราไม่ได้เก็บบทเรียนที่ไม่มีจะกิน
จนอยากรวยจะได้ไม่กลับไปเป็นแบบนั้นอีก

แต่จากที่ผ่านมา ทำให้เรารู้ว่า..
ไม่ตายก็หาใหม่ได้เพียงใจสู้
ชีวิตมีขึ้นมีลง มีได้ก็ต้องมีเสีย
ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีอะไรถาวรคงทน

มันก็แค่บททดสอบจากฟ้าที่เราต้องฝ่าไปให้ได้

รู้จักปรับปรุงปรับเปลี่ยน กับสถานการณ์ และรู้จักมองตัวเอง...
อย่าท้อ อย่าถอย แต่ให้ตั้งหลักให้มั่น สู้ไปใจอย่ายอมแพ้...


จากคุณ : โอ้ย...แจ่ม - [ 19 มี.ค. 52 14:45:42 ]

ความคิดเห็นที่ 8

อดทนหน่อยนะคะ มีทุกข์ย่อมมีสุขคะ อดทนรอจนถึงวันนั้นให้ได้ ย้อนกลับมาดูจะรู้สึกว่าเราได้ผ่านมันมาจนได้ แล้วเราจะมีความสุขคะ

จากคุณ : Janhi - [ 19 มี.ค. 52 14:56:28 ]

ความคิดเห็นที่ 9

อ่าน คห.7แล้วน้ำตาจะไหลค่ะ สู้ชีวิตดีจริงๆ นับถือมากมายค่ะ อยากให้กิฟท์หมดตัวเลย

อยาก บอก จขกท.ว่าให้อดทนนะคะ ลองมองดูตัวเอง ว่าตัวเองมีข้อเสียตรงไหนบ้าง ยอมรับความจริงแล้วปรับปรุงจุดนั้น ช่วงที่ชีวิตเลวร้ายสุดๆ เราจะค้นพบสัจธรรมมากมายค่ะ ไม่เคยมีใครที่จะไม่ผ่านช่วงเวลาเลวร้ายนะคะ เพียงแต่เรื่องราวจะแตกต่างกันไป ไม่มีใครแย่กว่าใคร เรื่องของใครก้อแย่ที่สุดสำหรับคนๆนั้น

ปัญหาที่เราเจอจะทำให้เราแข็งแกร่งและมีภูมิต้านทานมากขึ้นนะคะ


จากคุณ : Auguri - [ 19 มี.ค. 52 15:36:02 ]

ความคิดเห็นที่ 10

1. จงแปลงความทุกข์นั้นให้เป็นแรงขับ เป็นพลังแฝง เหมือนสปริงชั้นดีที่ถูกกดดันมากเท่าไหร่ มันก็จะแปลงแรงกดนั้นเป็นพลังแฝงมากขึ้นเท่านั้น

2. วิกฤตในบางครั้ง ก็คือจุดเปลี่ยนของชีวิต ที่กลับจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้นกว่าเดิม เพียงแต่ว่าจะมองวิกฤตนั้นเป็นโอกาสแบบคนคิดบวก หรือจะมองว่าเป็นอุปสรรค แบบคนคิดลบ

3. แรงเสียดทาน ทำให้เราก้าวไปข้างหน้าได้ คุณจะล้มเมื่อเดินบนพื้นลื่น

4. คนเราทุกคนอาจจะเรียนศาสตร์ได้เท่าเทียมกัน แต่สิ่งที่จะทำให้คนเราแตกต่างกันก็คือ ใครจะสามารถแปลงศาสตร์ให้เป็นศิลป์ ได้มากกว่ากัน

5.เมื่อมีความผิดพลาด พึงระลึกไว้ว่า “ผิดเป็นครู” และพยายามเรียนรู้จากความผิดพลาดให้มากที่สุด ทั้งของตัวเองและผู้อื่น

6. เจ เค โรวลิ่ง สามารถพลิกตัวเองจากคนตกงาน ไม่มีแม้ข้าวจะกิน กลับกลายเป็นสตรีที่รวยที่สุดบนเกาะอังกฤษ ได้ภายในสิบปี

7. ความสุขที่แท้จริงคือ ความสุขอันเกิดมาจากนามธรรมซึ่งเงินซื้อไม่ได้ เช่น ความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใย ของคนในครอบครัว

8. ชีวิตความเป็นอยู่ของคนเราในปัจจุบัน ถ้าเทียบแล้ว สะดวกสบาย และดีกว่า ฮ่องเต้ในสมัยโบราณ

9. ความทุกข์ มักจะมาจากการเปรียบเทียบ

10. สุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง คือความสำเร็จที่สำคัญที่สุด

11. วันใดที่มีความสุข วันนั้นจะหายเหนื่อย ต้องมีสักวันที่เป็นวันของเรา

12. ขมก่อนแล้วจะยิ่งหวาน แต่ถ้าหวานก่อนแล้วจะยิ่งขม

(รวบรวมมาจากหนังสือ เดอะท็อปซีเคร็ตII )


จากคุณ : ปัจจตัง - [ 19 มี.ค. 52 17:01:38 ]

ความคิดเห็นที่ 12

เราก็ สู้ เหมือน กัน เราก็ เจออะไรแย่ๆๆมาเยอะคะ แต่ เราโชคดี ที่ มี คุณแม่ เพื่อนๆ พี่ๆ ที่เข้าใจคะ

ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นอย่างมีสตินะคะ เราไม่ได้เกิดมาพร้อมทุกอย่าง แต่ ก็ ไม่ได้ หมายความว่า เราจะไม่มีโอกาสที่จะมีพร้อมนี่คะ

ใจสำคัญสุด ทำใจให้นิ่งคะ

สู้ๆๆ


จากคุณ : ดร.วิกานดา - [ 19 มี.ค. 52 17:30:03 A:119.31.49.107 X: TicketID:189066 ]

ความคิดเห็นที่ 15

มีคนที่เป็นเหมือนคุณเยอะไปค่ะ

ดิฉันเองก็ด้วย

1. ตกงาน

2. มีหนี้ต้องผ่อนชำระ

3. มีบ้านต้องผ่อนส่ง

4. ไม่มีเงินแล้วววววววว

5. แม่ไม่ต้อนรับกลับบ้าน ไม่พร้อมจะช่วยเหลือ

6. ก้มหน้าหางานมาทั้งเขตที่อยู่แล้ว ครบทุกบริษัทแล้ว ยังไม่ได้

7. หางานต่อไปอย่างยากเย็น

ตามนั้นค่ะ

ชีวิตไม่สิ้น ก็ดิ้นกันไปค่ะ สู้เว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย


จากคุณ : สะดุ้งสุดตัว - [ 19 มี.ค. 52 18:43:36 ]

Tuesday, March 10, 2009

ช้อปปิ้งเย็นสบาย กับ "3 ตลาดนัดกลางคืน"

ยังไม่ทันย่างเข้าสู่เดือนเมษา แต่อากาศได้ร้อนตับแลบกันมาระยะหนึ่งแล้ว ทำเอาไม่อยากจะออกไปไหนมาไหนให้แสงแดดแผดเผา ไม่ได้กลัวว่าแดดจะเพิ่มความดำให้ผิวกร้านๆของฉันหรอกนะ แต่กลัวว่าความร้อนจะทำให้เกิดอาการคลุ้มคลั่งตาขวาง น้ำลายฟูมปากไปได้ ตอนกลางวันก็เลยต้องเก็บเนื้อเก็บตัว พอแดดร่มลมตกเมื่อไหร่ค่อยออกไปเริงร่า

ประจวบเหมาะกับในช่วงนี้ที่มีแหล่งท่องเที่ยวกลางคืนแห่งใหม่มาให้ เราได้ไปเที่ยวกัน ไม่ใช่ที่เที่ยวแบบติ๊ดชึ่ง กินเหล้าเคล้านารี แต่เป็นสถานที่ช้อปปิ้งในช่วงกลางคืนที่เหมาะกับสภาพอากาศในช่วงนี้เป็นที่สุด

ตลาดนัดกลางคืนแห่งแรก ขอเริ่มกันที่ "ตลาดจตุจักรมิดไนท์" หรือตลาดนัดจตุจักรที่เพิ่งเปิดแผงใหม่เวลาใหม่ให้ซื้อ-ขายกันได้ทุกวัน ศุกร์ เริ่มตั้งแต่หกโมงเย็นถึงเที่ยงคืน เพิ่งเริ่มเปิดให้ขายกันได้เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา

โดยเป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ให้ผู้ที่ต้องการหารายได้เพิ่มเติม ในช่วงเศรษฐกิจกำลังตกต่ำย่ำแย่อย่างนี้ได้มาเช่าแผงขายของกันตามถนัด และจะผลัดเปลี่ยนผู้ค้ารายอื่นๆได้มาขายสลับกันไปบ้างโดยใช้วิธีการจับฉลาก ผู้เช่าแผงใหม่ทุกเดือน เรียกว่าก็จะมีสินค้าใหม่ๆ ผลัดเปลี่ยนมาขายกันไปทุกเดือนๆ ด้วยเช่นกัน

พ่อค้าแม่ค้านั่งขายของกันริมต้นมะขาม
ตามปกติแล้วตลาดนัดจตุจักรที่เปิดเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์นั้นก็เป็น ตลาดนัดที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากอยู่แล้ว และเมื่อเปิดให้ขายกันวันศุกร์อย่างนี้กระแสตอบรับก็ดูจะดีไม่แพ้กัน เพราะหลังฉันก็ได้แอบไปดูลาดเลามาเมื่อวันศุกร์ที่แล้วก็เห็นว่าคึกคักกัน ทั้งคนซื้อคนขายเลยทีเดียว

ตลาดจตุจักรมิดไนท์นี้เขาเปิดขายกันอยู่บริเวณหน้ากองอำนวยการตลาด นัดจตุจักร หากไม่อยากเดินไกลก็ให้มาเข้าทางประตูทางเข้า 1 ด้านถนนกำแพงเพชร 2 ตรงที่เป็นศูนย์รวมของธนาคารทั้งหลายนั่นแหละ เดินเข้ามานิดเดียวก็จะเห็นผู้คนคึกคัก ไฟสว่างไปทั่วบริเวณ

ข้าวของที่ขายอยู่ที่ตลาดจตุจักรมิดไนท์ทั้ง 400 กว่าแผงนี้ก็พอจะแบ่งได้เป็นประเภทเสื้อผ้ารองเท้าของแต่งตัว ของเบ็ดเตล็ดพวกของใช้หรือของประดับบ้านต่างๆ และอาหารการกินทั้งของหนักและขนมเล็กๆน้อยๆ ที่แบ่งแยกโซนกันขาย พวกเสื้อผ้านั้นจะเปิดขายกันกลางแจ้งอยู่ใกล้กับประตูทางเข้า ส่วนมากจะเป็นเสื้อผ้าแฟชั่นของผู้หญิง ทั้งเสื้อยืด ชุดกระโปรง กางเกงขาสั้น แต่ก็มีเสื้อยืดโปโลและเสื้อยืดผู้ชาย รวมทั้งเสื้อผ้าเด็กก็มีขายด้วยเช่นกัน

ของเล่นและโมเดลตุ๊กตาต่างๆ ที่ตลาดคลองถมกลางคืน
ส่วนแผงที่ขายกันอยู่ภายในเต็นท์ผ้าใบหลังใหญ่ก็จะเป็นข้าวของกระจุก กระจิกอย่างกระเป๋าถือ รองเท้า กระเป๋าสตางค์ กระปุกออมสิน ตุ๊กตา และของเล่นต่างๆ เดินดูของไปได้สักหน่อยก็ชักจะเริ่มหิวซะแล้วสิ ฉันเลยเดินไปแวะเวียนดูแถวๆที่เขาขายอาหารกันว่ามีอะไรให้ใส่ปากใส่ท้องบ้าง ก็พบว่ามีทั้งกระเพาะปลาหอมๆ ข้าวไข่เจียวร้อนๆ ขนมปังนุ่มๆ และอีกหลากหลายอาหารน่ากินให้เลือกกันจนอิ่ม พร้อมจะไปเดินช้อปกันต่อ

ส่วนตลาดนัดกลางคืนอีกแห่งหนึ่งซึ่งได้รับความนิยมมานานแล้วก็คือ "ตลาดนัดคลองถมกลางคืน" ที่จะเปิดให้ช้อปกันเฉพาะค่ำคืนวันเสาร์ ในวันปกติแล้วคลองถมนั้นก็เป็นแหล่งขายของมือสองและอุปกรณ์ประดับยนต์ต่างๆ แต่ในช่วงคืนวันเสาร์ โฉมหน้าของตลาดคลองถมจะเปลี่ยนไป กลายเป็น "ตลาดไฟฉาย" ไม่ใช่ว่ามีขายแต่ไฟฉาย แต่เพราะจะมีแผงขายของมากมายมาเปิดขายกัน แต่แสงไฟไม่พอเพียง หากอยากเห็นสินค้าชัดๆก็ต้องพกไฟฉายไปส่องกันเอง

เสื้อผ้าผู้หญิงดูจะขายดีที่สุดที่จตุจักร
จะมาเดินตลาดคลองถมกลางคืนก็ต้องเตรียมพร้อมร่างกายให้ดี เพราะพื้นที่วางขายสินค้านั้นกินบริเวณกว้างตั้งแต่หน้าโรงพยาบาลกลาง วกไปจนถึงสี่แยกวรจักร แล้วยังมีซอยแยกซ้ายแยกขวาแยกหน้าแยกหลังให้เดินกันจนเมื่อยทีเดียวแหละ

ส่วนข้าวของที่มาวางขายนั้นก็มีเรียกได้ว่ามีทุกอย่างจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นของพื้นๆ อย่างเสื้อผ้า ขนม ของกินเล่น เทปคาสเซ็ท วิดีโอ แผ่นเสียง แผ่นซีดีหนังและเพลง โทรศัพท์มือถือ โทรศัพท์บ้าน เพจเจอร์ แผ่นเกมส์ต่างๆ ของเล่น โมเดลตุ๊กตุ่น เครื่องมือช่างทั้งหลายแหล่ อุปกรณ์อะไหล่ต่างๆ เฟอร์นิเจอร์ของประดับบ้านเก่าๆ และอื่นๆอีกมากมายจาระไนไม่ถูก ต้องมาดูเอาเอง โดยทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็จะมีทั้งสภาพใหม่กิ๊กมือหนึ่ง ของเก่ามือสองสภาพดีบ้างเลวบ้าง ของหลุดจำนำ ของโจร ฯลฯ สามารถต่อรองราคากันได้ตามอัธยาศัย ส่วนใครจะได้ของคุ้มค่าคุ้มราคาหรือไม่นั้นก็แล้วแต่ว่าตาดีก็ได้ตาร้ายก็ เสีย(เงิน)

รองเท้าเก่า-ใหม่ หาได้ที่สนามหลวง
และที่ฉันว่าเป็นสีสันน่าสนุกดีก็คือการประมูลของเล่นที่พ่อค้าจะ เปิดราคาขายต่ำๆแล้วให้ลูกค้าประมูลแข่งกัน ของเล่นที่นำมาประมูลนั้นก็ไม่ได้เป็นของพิเศษอะไรมากมาย แต่ทางร้านกลับนำมาทำให้ดูน่าสนใจด้วยการเปิดประมูล และยังสร้างความภูมิใจให้กับลูกค้าได้ด้วยอีกต่างหาก ส่วนความนิยมไม่ต้องพูดถึง ดูจากจำนวนคนที่ไปยืนมุงกันอยู่รอบๆร้านก็รู้แล้วว่าฮิตแค่ไหน

ผู้คนพลุกพล่านที่คลองถม
สำหรับคนที่ชอบสินค้าคล้ายๆที่คลองถม แต่อยากได้บรรยากาศสบายๆ ไม่แออัด ก็ขอเชิญมาเดินที่ "ตลาดนัดรอบสนามหลวง" ตลาดกลางคืนอีกแห่งหนึ่งที่มีสารพัดสินค้ามาวางขายกันอยู่ใต้ต้นมะขาม เริ่มขายกันตั้งแต่ช่วงเย็นย่ำไปจนดึกดื่นเที่ยงคืน

โดยข้าวของที่มีมาขายนั้นก็จะเน้นเป็นของเก่า ของมือสอง ประเภทเทปคาสเซ็ท หนังสือการ์ตูนเก่า รองเท้ามือสอง เสื้อผ้ามือสอง เครื่องมือช่างก็พอมีอยู่หลายร้านให้เลือกซื้อ แต่ที่ฉันเห็นว่าน่ารักก็คือมีคุณลุงแก่ๆ มานั่งวาดรูปด้วยสีเมจิกลงในกระดาษแผ่นเล็กๆ วาดเป็นรูปวิวทะเล ป่าไม้ หรือรูปสัตว์ต่างๆ ถ้าจะว่ากันจริงๆแล้วภาพวาดของคุณลุงคงเทียบไม่ได้กับศิลปินมืออาชีพ แต่คนที่พบเห็นก็คงอยากจะช่วยอุดหนุนซื้อภาพของแกเพราะเห็นความตั้งใจในการ วาดนั่นเอง

ศุกร์นี้ลองมาเดินดูกันได้ที่ตลาดจตุจักรมิดไนท์
แผงขายของรอบสนามหลวงนั้นถ้าจะเดินกันจริงๆก็สามารถเดินได้รอบสนาม หลวงเลยทีเดียว เพราะมีพ่อค้าแม่ค้าหลายเจ้ามาจับจองพื้นที่วางสินค้าเรียงรายให้เลือกซื้อ แทบไม่เหลือพื้นที่ไว้ให้ผีมะขามได้ทำงานบ้างเลย ขนาดกลางสนามหลวงก็ยังมีคนมาเปิดบริการนวดสำหรับคนที่เดินดูของแล้วเมื่อย จัด ปูเสื่อนวดกันสบายอารมณ์มากทีเดียว

ฉันเองชอบบรรยากาศของแผงขายของที่สนามหลวงนี้ไม่น้อยเพราะเดินได้ไม่ อึดอัด ลมพัดเย็นสบาย จะเดินดูของจนดึกหน่อยก็ยังหารถกลับบ้านง่ายเพราะมีรถเมล์หลายสายวิ่งผ่าน สนามหลวง

หาซื้อของสะสมเกี่ยวกับเอลวิสได้ที่คลองถม
เพิ่งรู้ว่าได้เดินซื้อของตอนดึกมันก็เย็นสบายดีเหมือนกัน แต่ต้องเตือนกันไว้ให้ระวังมิจฉาชีพรูปแบบต่างๆ ก็ขนาดตอนกลางวันยังโดนปล้นจี้กันได้ ตอนกลางคืนยิ่งมีโอกาสง่ายกว่า เพราะฉะนั้นต้องระวังตัวเอง ไม่ควรไปช้อปเพลินคนเดียว พาเพื่อนไปด้วยกลุ่มใหญ่ๆ หรือถ้าเป็นสาวๆ ก็หาแฟนหน้าโหดๆไปเดินเป็นเพื่อนด้วยก็ยิ่งดีใหญ่เลย

มีบริการนวดแก้เมื่อยที่กลางสนามหลวง
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

"ตลาดนัดจตุจักรมิดไนท์" เปิดขายทุกวันศุกร์ ในเวลา 18.00-24.00 น. การเดินทาง สามารถนั่งรถประจำทางสาย 136, 138, 145, 157, ปอ.145, ปอ.157 มาลงใกล้กับประตูทางเข้า 1 หรือนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) มาขึ้นที่สถานีกำแพงเพชร จะสะดวกที่สุด

"ตลาดนัดคลองถมกลางคืน" จะเปิดขายกันตั้งแต่ตอนบ่ายๆ ของวันเสาร์ ไปจนถึงเช้าวันอาทิตย์ ขายกันแถวหน้าร.พ.กลางและแยกวรจักร สามารถจอดรถได้ในบริเวณวัดพระพิเรนทร์ ตรงข้ามกองปราบเก่า ค่าจอด 20-30บาท หรือจะไปจอดที่ข้างตึกรพ.กลางคิดค่าจอดชม.ละ 30บาท ส่วนบริการของขสมก.มีรถเมล์สาย 8, 10, 37, 73 ผ่าน สำหรับคลองถมในวันเสาร์นั้น จะมีความพิเศษกว่าวันอื่นที่เปิดขายกันแต่หัวค่ำไปจนถึงเช้าวันอาทิตย์

"ตลาดนัดรอบสนามหลวง" เปิดขายทุกวัน โดยจะวางขายกันตั้งแต่เวลาประมาณ 18.00-24.00 น. บริเวณรอบสนามหลวง การเดินทาง มีรถประจำทางสาย 3, 6, 9, 15, 30, 32, 33, 39, 44, 53, 64, 124, 203 ฯลฯ ผ่าน

credit : manager.co.th

Sunday, March 8, 2009

สำรวจตลาดนัด ตลาดกรมชลประทาน

ผมได้มีโอกาสไปเดินดูตลาดนัดกรมชลประทาน 2 วัน คือวันเสาร์และวันอาทิตย์นี้เองครับ ซึ่งตลาดนัดที่นี่จะเปิดเฉพาะวันเสาร์และวันอาทิตย์เท่านั้น และเปิดเฉพาะช่วงเช้าอย่างเดียวคือประมาณ ก่อนหกโมงเช้าถึงสิบโมง ที่ผมบอกว่าก่อนหกโมงเช้าก็เพราะว่า ผมไปถึงประมาณหกโมงก็มีรถจอดอยู่เต็มแล้วบริเวณสองข้างทาง สำหรับคนที่ต้องการขายของที่นี่ ผมว่าก็น่าจะเป็นสถานที่ที่ใช้ได้เลยทีเดียว มีทั้งของกินของใช้สาระัพัดอย่างมาวางขายกัน ทั้งของใหม่และของเก่า

สำหรับสถานที่จอดรถ สำหรับคนที่มีรถส่วนตัว น่าจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบาก เพราะจะหาที่จอดริมสองข้างทางคงจะต้องไปให้ถึงประมาณตีห้า แต่สำหรับคนในพื้นที่แล้วคงจะไม่ลำบากในเรื่องที่่จอดรถ เพราะมีที่จอดรถอยู่มากมายให้ท่านเลือกในกรมชลประทาน แต่ต้องรับบัตรผ่านก่อนน๊ะครับ หลังจากผ่านการรับบัตรก็จะมีทางเลี้ยวไปทางซ้ายมือช่องทางแรก ก็ขับไปเรื่อย ๆ เลยครับ ประมาณเกือบหนึ่งกิโลเมตร ก็จะมีลานจอด เป็นที่ว่าง ๆ หรือสองข้างทางก็สามารถจอดได้ แล้วก็เดินต่อไปอีกเล็กน้อยก็จะถึงสามแยกซึ่งจะมีประตูเหล็กปิดอยู่ทางซ้ายมือ แต่จะมีประตูเล็ก ๆ เปิดให้สามารถเดินออกไปตลาดกรมชลประทานได้ครับ

สำหรับตัวผมเองก็รู้ด้วยความบังเอิญหลังจากที่เสียเวลาหาที่จอดร่วม 15 นาที แต่สำหรับสถานที่จอดรถที่ตลาดกรมชลประทานนี้ต้องระมัดระวังอย่างดี ถ้ามีล๊อคกันขโมยต่าง ๆ ก็ให้ล๊อคให้เรียบร้อยน๊ะครับ เพราะเห็นสถิติเรื่องรถหายที่นี่ก็ไม่เป็นรองใครอยู่เหมือนกัน ขอนอกเรื่องเอาสถิติรถหายมาให้ดูกันน๊ะครับว่าเป็นอย่างไร

สถิติ สถานที่ที่จอดรถแล้วหาย !!

วิทยุ FM 91 จัดอันดับสถานที่ "จอดรถหายหรือจอดแล้วหาย" จากสถิติ 7 เดือนระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม – 30 พฤศจิกายน 2551

สถานที่เสี่ยง "จอดรถหาย หรือจอดแล้วหาย"

ที่อยู่ในกลุ่มสถานที่จอดรถประจำ ของอาคารที่พักอาศัยประเภท หอพัก อพาร์ตเม้นต์ คอนโด และแมนชั่น ซึ่งเจ้าของยานพาหนะรถยนต์พึงระวัง
อันดับ 1 ได้แก่ ลานจอดรถ คอนโด เมืองทองธานี
อันดับ 2 คือลานจอดรถ หอพัก อพาร์ตเม้นต์ คอนโด และแมนชั่น ภายในซอยลาดพร้าว 112
อันดับ 3 คือ ซอยลาดพร้าว 43 ถนนลาดพร้าว, ถนนลาดปลาเค้า, ถนนศรีนครินทร์, ถนอมมิตร ปาร์ค คอนโด, ถนนประชาสงเคราะห์, ซอยจุฬาเกษม หรืองามวงศ์วาน 18, บางใหญ่ ซิตี้ ถนนตลิ่งชัน-สุพรรณบุรี, แมนชั่น หอพัก ข้างมหาวิทยาลัย กรุงเทพ ศูนย์รังสิต, ริมถนนสุขุมวิท จังหวัดสมุทรปราการ, ถนนเทพารักษ์ และ ถนนเพชรเกษม

ลานจอดรถที่พักอาศัย ประเภท การเคหะ
อันดับ 1 ได้แก่ การเคหะ ร่มเกล้า และการเคหะ คลองจั่น
อันดับ 2 คือ การเคหะ บางพลี เมืองใหม่
อันดับ 3 ได้แก่ การเคหะ ดินแดง ทุ่งสองห้อง และ ปากเกร็ด นนทบุรี

ส่วนสถานที่จอดรถชั่วคราว ประเภท ลานจอดรถของตลาด ที่พึงระวัง เพราะเป็นสถานที่เสี่ยง
อันดับ 1 ได้แก่ ตลาดสนามหลวง 2 ถนนพุทธมณฑล สาย 2
อันดับ 2 คือ ตลาดกรมชลประทาน ถนนติวานนท์
อันดับ 3 ประกอบด้วย ตลาดมีนบุรี และตลาดไท
อันดับ 4 คือ ตลาดมหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร

สำหรับลานจอดรถของ ห้างสรรพสินค้า ที่ถูกจัดให้อยู่ในสถานที่เสี่ยง
อันดับ 1 ได้แก่ ลานจอดรถ ห้างสรรพสินค้า เซียร์ รังสิต ถนนพหลโยธิน
อันดับ 2 คือ ลานจอดรถ ห้างสรรพสินค้า แฟชั่น ไอร์แลนด์ ถนนรามอินทรา, ห้างสรรพสินค้า ฟิวเจอร์ ปาร์ค รังสิต ถนนพหลโยธิน และห้างสรรพสินค้า เทสโก้ โลตัส สาขา ศาลายา จังหวัดนครปฐม

สถานที่จอดรถซึ่งเป็นลานจอดรถของวัด และศาลหลักเมือง ที่ควรระมัดระวังอย่างยิ่ง
อันดับ 1 ได้แก่ ลานจอดรถ ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง จังหวัดสมุทรสาคร
อันดับ 2 คือลานจอดรถ วัดไร่ขิง และลานจอดรถวัดพลับพลาไชย

ก็ต้องบอกให้ระมัดระมังสถานที่เหล่านี้ให้ดีน๊ะครับ จะได้ไม่เสียใจภายหลัง

มาว่ากันต่อเรื่องของตลาดนัดกรมชลประทานกันดีกว่า

ตลาดกรมชลประทาน จะเป็นตลาดที่เปิดทุก ๆ วัน เหมือนตลาดสดทั่ว ๆ ไป นั่นแหละครับ แต่จะเปิดเป็นตลาดนัดช่วงเช้าเฉพาะวันเสาร์และวันอาทิตย์เท่านั้น สำหรับคนที่ต้องการนำสินค้าไปขายที่นี่คงจะต้องเตรียมตัวกันตั้งแต่เช้า น่าจะไปถึงตลาดตั้งแต่ตีสี่หรือตีห้า สำหรับคนที่ไปสายหน่อยก็จะได้ทำเลบริเวณสนามฟุตบอลโรงเรียนกรมชลประทาน แต่ก็มีคนเดินดูเยอะอยู่น๊ะครับ แต่สำหรับคนที่ต้องการขายอาหาร คงจะต้องลองไปสำรวจดูเองน๊ะครับ เพราะโซนขายอาหารที่มีคนเดินกันขวักไขว่จะอยู่บริเวณด้านหน้า แต่ถ้าคนไหนที่ได้ทำเลขายของทั่วไปที่บริเวณโซนด้านหน้า ก็ถือได้ว่าโชคดีมาก ๆ

สำหรับตัวผมเองก็ยังไม่รู้ว่า ต้องติดต่อในเรื่องทำเลที่จะขายสินค้ากับใคร ตอนนี้ก็ให้คนที่รู้จักสอบถามอยู่ ถ้าหากว่าได้ข้อมูลอย่างไรแล้วผมจะมาอัปเดทให้รับทราบกันอีกทีน๊ะครับ แต่ที่รู้แน่ ๆ ก็คือ จะมีทำเลของขาประจำกับขาจร ซึ่งขาประจำก็คือ มาเป็นประจำไม่ขาดและจะได้สิทธิในทำเลนั้น ๆ สำหรับขาจรก็ต้องอาศัยมาก่อนได้ก่อน(อันนี้ไม่ได้คอนเฟอร์มน๊ะครับ เดาเอา)

ในส่วนของสินค้าที่นำมาขายนั้น ผมคงไม่สามารถสาธยายให้ฟังได้หรอกครับ เพราะที่นี่มีสินค้าเยอะจริง ๆ และเป็นตลาดที่ใหญ่มากแห่งหนึ่ง เรียกได้ว่า ผู้ค้าในบริเวณนั้นมาหากินที่นี่กันเกือบทั้งหมดนั่นแหละครับ เพราะเวลาเปิดตลาดของที่นี่เอื้ออำนวยให้ผู้ค้่ามาค้าขายกันมาก เพราะส่วนใหญ่จะเปิดกันตอนเย็น ก็เท่ากับมาวันเสาร์อาทิตย์สามารถหากินกันได้สองรอบอย่างสบาย ๆ

ผมคงไม่ได้เชียร์ที่นี่เป็นพิเศษ แต่ผมเห็นว่าถ้ามีเวลาและขยันตื่นเช้า รายได้คงจะไม่หนีไปไหน ขอให้ตั้งใจทำกันเถอะครับโอกาสยังมีอีกเยอะ

เอาไว้วันหน้าผมจะไปเที่ยวที่อื่นแล้วมาเล่าสู่กันฟังอีกน๊ะครับ

Thursday, March 5, 2009

ลาออก บทเรียนที่ต้องจดจำ

บังเอิญไปเจอกระทู้จาก pantip.com ที่ห้องสีลมมาครับ เห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับบางคนได้ ก็ขออนุญาตินำมาโพสเก็บเอาไว้ แต่ต้องขอบอกไว้ก่อนน๊ะครับว่า สิ่งที่นำมาอาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะฉะนั้น ท่าน ๆ ทั้งหลายก็โปรดได้ใช้วิจารณญาณไตร่ตรองดูว่า อะไรที่เป็นประโยชน์ หรืออะไรที่อาจจะขัดแย้งกับชีวิตที่เป็นอยู่ของคุณ

กระทู้จากพันทิป
จากคุณ : ขงเบ้งกลับชาติ
สวัสดีครับ ตอนนี้ผมออกจากงานแล้วครับ วันนี้มานั่งทบทวนตัวเองว่าตัวเองได้อะไรจากบทเรียนครั้งนี้ครับ ผมเพิ่งทำงานมาได้ 8เดือนเองครับ แต่ก็ได้ไรมาเยอะเลยครับจากโลกการทำงานจริง บทเรียนที่ 1 การทำงานต้องมีการเซ็นสัญญาการทำงานให้แน่ชัด สัญญาใจใช้ไม่ได้กับโลกธุรกิจ ผม ทำงานโดยไม่ได้เซ็นสัญญาครับ เนื่องจากพี่คนที่สัมภาษณ์บอกเป็นบริษัทเล็กๆ แล้วอยู่กันอย่างพี่ๆน้องๆ อบอุ่นๆ สัญญาใจครับ บอกทั้งเงินเดือน การันตีโบนัส(ตอนหลังไม่ได้อย่างที่พูดครับ) แต่ไม่มีให้เซ็นสัญญาครับ จุดนี้ทำให้ผมพลาดแต่พลาดยังไงเดี๋ยวจะเล่าอีกทีครับ บทเรียนที่สอง การทำงานไม่ว่าจะเล็กแค่ไหน การเมืองภายในมีได้เสมอครับ อีกทั้งยิ่งบริษัทเล็ก ยิ่งน่ากลัวครับ เพราะรู้ถึงกันไว บทเรียนที่สาม คนที่ยิ้มง่ายที่สุดอาจเป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้ที่สุด อาจจะแทงเราข้างหลัง โปรดระวังตัวไว้ บทเรียนที่ที่สี่อย่าเป็นคนโง่ หรือเล่นบทพ่อพระที่อะไรก็ยอมได้ทุกอย่าง เพราะไม่งั้นก็จะโดนเหยียบและกดขี่ตลอดไปครับ บทเรียนที่ห้า เลือกนายที่มีคุณธรรม แค่นี้ชีวิตการทำงานก็สบายขึ้นอีกเยอะๆมากแล้วครับ เอา ล่ะครับ เข้าเรื่องนะครับ ผมทำงานที่นี้มาได้ 8 เดือนก็โดนออกในข้อหาไม่ผ่านโปรครับ ใช่ครับไม่ผ่านโปร แต่งานที่ทำนั้นผมทำในช่วงที่หนักผ่านไปเรียบร้อยหลังจากนั้นเค้าก็เรียกมา คุยแล้วบอกว่าไม่ผ่านโปร เหตุผลในตอนแรกที่เค้าเรียกไปคุยเค้าบอกว่าผมชอบเถียง ทั้งๆที่การทำงานมักเป็นแบบ brain strom เค้าก็ให้เวลาผมปรับตัว 3 อาทิตย์ ผมก็พยายามปรับครับ พอเค้าเรียกมาคุยอีกครั้ง เค้าบอกว่าผมเงียบ ผมก็บอกว่าผมเงียบเพื่อที่จะรับฟังมากขึ้น ตามคำแนะนำของพี่เค้ารวมถึงคิดให้ลึกซึ้งมากขึ้น แต่เค้ากลับบอกว่าผมเงียบเพื่อปกป้องตัวเอง ทั้งๆที่วันก่อนประชุม ผมยังเสนอความคิดเห็นอยู่เลยครับ ทำให้ผมรู้ว่าถ้าเกิดเค้าอยากให้ ออก ไม่ว่าทำอะไรก็ผิดหมดครับ แล้วเค้าก็บอกว่าให้เตี๋ยมกับเค้าให้ผมบอกคนอื่นว่าลาออกเอง แล้วก็หยิบใบลาออกให้ผมเซ็นครับ ทำให้ผมไม่ได้รับเงินชดเชย (อีกทั้งเค้าก็ไม่อยากจะให้อยู่แล้วครับ) เพราะผมไม่มีเซ็นสัญญาตอนทำงานด้วยครับ ทั้งที่ถ้าเค้าอยากให้ผมออกก็น่าจะยุติธรรมกับผมหน่อย แต่เค้าก็กดดันครับให้เซ็นใบลาออก โดนให้ข้อหาว่าผมกับองค์กรไม่เหมาะสมกัน ทั้งที่ช่วงที่ทำงานนั้นเป็นช่วงที่ทำงานหนักมาก ผมทำงานทุกวัน หยุดกลางสัปดาห์อาทิตย์ละวัน ทำงานเกินเวลา ประชุมถึง 4-5ทุ่ม ลาป่วยไม่ได้ครับ เนื่องจากคนไม่พอ รวมถึงงานที่พี่ๆๆชอบพูดกันครับว่า Muti-task ต้องทำทุกอย่างทั้งๆที่ตอนสัมภาษณ์งานไม่ตรงกับที่บอกเลยครับ Muti-task ต้องทำทุกอย่าง ยกของ,วางแผน,ออกแบบ artwork, บริการลูกค้า และอีกมากมายครับ ผมแค่มาระบายเท่านั้นแหละครับ ถึงตอนนี้ผมเตรียมตัวที่จะหางานใหม่ และจะนำประสบการณ์ที่ได้เจอเป็นเครื่องเตือนใจตัวเองครับ อย่างน้อยผมก็เชื่อว่า ยิ่งคนเราเจอประสบการณ์มากเท่าไหร่ ก็จะแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้นครับ

จากคุณ : chayathammo (chayathammo)
เห็นด้วยครับ
"บทเรียนที่สอง การทำงานไม่ว่าจะเล็กแค่ไหน การเมืองภายในมีได้เสมอครับ"==>สำหรับผมเจอมากับตัวเอง เหตุการณ์ที่ผมเจอคือเพื่อนที่เข้างานด้วยกันมา 17 ปี เมื่อจะได้รับตำแหน่งเป็นผู้จัดการ กลับยัดเยียดข้อหาความผิดที่ผมไม่ได้กระทำ เมื่อชี้แจงไปยังระดับใหญ่กว่าผู้จัดการ เพื่อนผมคนนี้กลับโน้มน้าวให้เห็นว่าผมไม่ให้ความร่วมมือ สุดท้ายผมถูกแขวนพร้อมกับลูกน้องที่รักษาความจริงอีกสองคน
"บทเรียนที่ สาม คนที่ยิ้มง่ายที่สุดอาจเป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้ที่สุด อาจจะแทงเราข้างหลัง โปรดระวังตัวไว้"==>แต่สำหรับผม คนที่ไว้ใจได้มากที่สุด ไม่ใช่ "อาจ" แต่เป็น "สามารถ" แทงเราข้างหลังโดยที่เราไม่ได้คิดระวังก่อนเลย
บทเรียนที่ที่สี่อย่าเป็น คนโง่ หรือเล่นบทพ่อพระที่อะไรก็ยอมได้ทุกอย่าง เพราะไม่งั้นก็จะโดนเหยียบและกดขี่ตลอดไปครับ==>ปัจจุบันผมกลับเล่นบท ทั้งโง่ พ่อพระ ยอมทุกอย่างเพื่อให้องค์กรคงอยู่และเพื่อรอความยุติธรรมและ "เวรกรรมมีจริง" อยู่ครับ
บทเรียนที่ห้า เลือกนายที่มีคุณธรรม==>ผมยังคิดว่านายระดับใหญ่กว่าผู้จัดการยังมี คุณธรรมอยู่นะครับ แต่อาจได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง
ทั้งหมดที่กล่าว ก็ดีใจที่มีเพื่อนร่วมชะตากรรม ฟ้าลิขิต และเป็นกำลังใจที่ดีต่อกันครับ

Wednesday, March 4, 2009

ว่าด้วยเรื่องภาษีอากรกันอีกที

นั่งคิดอยู่นานหลายวันว่าจะเขียนเรื่องนี้ดีหรือเปล่าเพราะตัวผมเองก็ไม่กระจ่างชัดเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าไร เอาเป็นว่าถ้าผมเข้าใจผิดอะไรไปก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย แต่จะมีใครที่จะคอมเม้นท์มาแก้บทความที่ผมเขียนหรือเปล่า อันนี้ก็สุดแล้วแต่ท่าน ๆ ทั้งหลายนั่นแหละครับ

เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า ผมต้องยื่นเรื่องเสียภาษีอากร วัตถุประสงค์ในการยื่นก็เพื่อที่จะขอคืนภาษีส่วนที่ชำระเกิน ในกรณีของผมคือการลาออกจากงาน และไม่ได้รับเงินชดเชยใด ๆ ทั้งสิ้น(ก็อยากลาออกเองนิ ไม่เห็นมีใครชวน) แต่เรื่องลาออกมันไม่ใช่ปัญหาหรอกครับ แต่มีความสงสัยบางประการ

วันนั้นผ่านมาประมาณเกือบสองอาทิตย์น่าจะได้ ผมต้องไปยื่นเอกสารเพิ่มเติมในกรณีลาออกจากงาน และหลักฐานรายรับในปีที่แล้ว ก่อนหน้านั้นผมก็เคยไปครั้งหนึ่ง แต่เอกสารไม่ครบก็เลยต้่องบากหน้าไปที่ทำงานเก่า(จริง ๆ ก็ไม่อยากจะโผล่ไปซักเท่าไร) เจ้าหน้าที่สรรพากรถามคำถามผมเหมือนกับไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด คำถามนั้นก็คือ "ถ้ามีเงิืนชดเชยจากการลาออกจากงานก็ให้ใส่มาด้วย" ผมก็ตอบกลับไปว่า "ไม่มีครับในส่วนนี้" เจ้าหน้าที่ก็ยังบอกว่า "ถ้ามีก็ให้ขอหลักฐานมาด้วย" ผมเองก็เป็นงงว่าไม่เชื่อกันหรือไง

ครั้นถึงวันที่ส่งเอกสารเพิ่มเติมทั้งหมด ผมก็ยังได้รับคำถามเดียวกัน คือ ไม่มีเงินชดเชยการออกจากงานเหรอ ผมก็บอกว่า "ไม่มีครับ ดูที่นี่ได้รายรับรวมทั้งปี" เจ้าหน้าที่ก็ทำท่าเหมือนไม่เชื่ออีกแล้ว น่าเบื่อมาก ๆ แต่สุดท้ายก็ไม่มีเอกสารอะไรที่บ่งบอกว่าผมได้รับเงินชดเชย(ก็คนมันไม่ได้จริง ๆ นี่) แล้วก็ให้ผมเซ็นต์ชื่อ และเขียนกำกับว่า ลาออกจากงานโดยไม่ได้รับเงินค่าชดเชย และ่ลงวันที่ เป็นอันจบ

แต่สำหรับผมแล้ว ผมว่ามันไม่จบแค่นี้หรอกครับในความคิดของผม

ผมคิดว่า เงินชดเชยอะไรต่าง ๆ นานา ที่คนทำงานจะได้รับไม่ควรจะนำไปคิดเสียภาษี เพราะนั่นหมายถึงการทำลายกันทางอ้อม บางคนที่ต้องออกจากงานด้วยสถานะการบังคับ หรือถูกปลดจากงาน อนาคตของคน ๆ นั้นก็ยังไม่เห็นหนทางอะไรชัดเจน การที่จะต้องเสียภาษีก็เหมือนกับเป็นบั่นทอนชีวิตของเขาไปด้วยเช่นกัน หลายคนอาจจะคิดว่า นี่เป็นความคิดของคนที่เห็นแก่ตัว แต่ถ้าคุณไม่ตกอยู่ในสถานะการณ์แบบนี้ การคิดอย่างนั้นของคุณก็คงไม่ผิด และสำหรับคนที่คิดอย่างนั้น ผมอยากให้สักวันหนึ่ง คุณอยู่ในสถานะการณ์เดียวกันกับผม แล้วคุณจะรู้ว่ามันเป็นอย่างไร

ผมมีเวลาไม่มากที่่จะเขียนบทความนี้ บางถ้อยคำอาจจะดูไม่สุภาพก็ต้องขออภัย แต่ให้เข้าใจถึงหลักใหญ่ใจความที่ผมต้องการจะสื่อเท่านั้นเป็นพอครับ หากผมเข้าใจอะไรผิดก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

 

© 2013 คนตกงาน. All rights resevered. Designed by Templateism

Back To Top